โพสเมื่อ : 5 มิถุนายน 2568
บนดอยสูงที่เชียงใหม่ มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “แม่บานเย็น” เธอเป็นคนปกาเกอะญอที่เกิดและโตมากับป่า การทำไร่ และวิถีชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนในชุมชนทั่วไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่บานเย็นก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่บีบให้แม่บานเย็นหันไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทนข้าวไร่แบบเดิม เพราะได้เงินง่ายกว่า แต่เบื้องหลังของการปลูกข้าวโพด คือดินที่เสื่อม น้ำที่ขาด และป่าที่หายไปเรื่อยๆ จนบานเย็นเองเริ่มรู้สึกว่าเส้นทางนี้มันไม่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูกหลานและธรรมชาติรอบตัว
แม่บานเย็นเลยตัดสินใจเปลี่ยนใหม่ หันมาทำเกษตรผสมผสาน เมื่อปี 2562 มูลนิธิรักษ์ไทยได้เข้ามาให้ความรู้ การออกแบบพื้นที่เกษตร และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อมุ่งสู่ “เกษตรหยัดยืน” แม่บานเย็นจึงได้จัดสรรพื้นที่ 15 ไร่ ของตนเองออกเป็น 3 ไร่ปลูกข้าวเพื่อบริโภค 7 ไร่ปลูกไม้ผลและพืชบำรุงดิน เช่น ถั่วอาซูกิ และอีก 5 ไร่สำหรับปลูกพืชตามฤดูกาล เช่น ข้าวโพด ฟักทอง หรือพืชผัก
นอกจากนี้ยังชักชวนเพื่อนเกษตรกรหญิงที่มีพื้นที่ติดต่อกับแปลงอีก 10 ครัวเรือน มาร่วมปรับเปลี่ยนวิถีเกษตร บนพื้นที่รวม 54 ไร่ แปลงเกษตรของแม่บานเย็นในวันนี้ มีทั้งข้าว ผัก ผลไม้ ถั่ว พืชหมุนเวียน และต้นไม้หลายชนิดที่ช่วยให้ดินกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แม่บานเย็นยังรวมกลุ่มกับคนในหมู่บ้านตั้งกลุ่มออมทรัพย์ ทำให้ทุกคนมีเงินใช้ ไม่ต้องพึ่งหนี้นอกระบบ ชีวิตของแม่บานเย็นเปลี่ยนไป แม่บานเย็นบอกว่ามีความสุขขึ้น ไม่เครียดเหมือนแต่ก่อน มีของกินจากสวนตลอดปี ไม่ต้องซื้อของตลาดทุกอย่าง และที่สำคัญคือได้อยู่กับธรรมชาติแบบไม่ทำร้ายมัน เรื่องของแม่บานเย็นทำให้เราเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ต้องยิ่งใหญ่ แค่เริ่มจากตัวเอง ใช้ความตั้งใจ และมีแรงสนับสนุนที่ดี ก็สามารถเปลี่ยนทั้งชีวิตและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันได้
นอกจากบทบาทด้านเกษตรแล้ว แม่บานเย็นยังเป็นแกนนำตั้งกลุ่มออมทรัพย์ผู้หญิง มีสมาชิก 23 ครัวเรือน ร่วมกันออมเงินคนละ 100 บาทต่อเดือน และให้สมาชิกกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน ปัจจุบันกลุ่มมีเงินสะสมกว่า 70,000 บาท แม้จะมีกองทุนไม่มากแต่เงินก้อนนี้ได้ช่วยให้สมาชิกมีทุนซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา และรับมือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ยามเจ็บป่วย การศึกษาของลูก และอุปกรณ์การเกษตรที่จำเป็น
“แม้รายได้จะยังไม่มาก แต่มีความสุขมากขึ้นจากการทำเกษตรที่ไม่ต้องแข่งขัน ใช้แรงน้อยลง และได้สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว และมีของแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนเสมอ” แม่บานเย็นกล่าวด้วยรอยยิ้ม และวันนี้แปลงของแม่บานเย็นได้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่และเพื่อนบ้านได้เรียนรู้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงของชุมชนและป่าต้นน้ำ
ชุมชนชาวลัวะ บนสันเขา บ้านก่อก๋วง ต.บ่อเกลือใต้ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน มีการตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบและพื้นที่ภูเขา หรือเชิงเขาที่ระดับความสูง 600-1,200 เมตรจากระดับน้ำ ได้อาศัยผืนป่าและตั้งรกรากในพื้นที่แห่งนี้มานาน จนถึงปัจจุบันเป็นพื้นที่อนุรักษ์ติดเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา